วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

แผนที่จีโนมข้าวสาลี: เทคโนโลยีผลิตอาหารเลี้ยงโลก


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ข้าวสาลี


ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติประสบความสำเร็จในการทำแผนที่จีโนม หรือข้อมูลพันธุกรรมทั้งหมดของข้าวสาลี ซึ่งจะช่วยเปิดทางไปสู่การดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อพัฒนาข้าวสาลีพันธุ์ใหม่ ๆ ที่จะให้ผลผลิตมากขึ้น มีความทนทานต่อโรคต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในอนาคต
ทีมนักวิจัยใช้เวลาถึง 13 ปี ในการจัดลำดับชุดพันธุกรรมข้าวสาลีพันธุ์ Triticum aestivum ที่เพาะปลูกกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีโนมข้าวสาลีมียีนทั้งหมด 107,891 ตัว โดยจีโนมที่มีความซับซ้อนมีอยู่ 16,000 ล้านคู่เบสของโครงสร้างของสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ซึ่งใหญ่กว่าจีโนมของมนุษย์กว่า 5 เท่า
การทำแผนที่จีโนมนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวสาลีใหม่ ๆ เพราะจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคัดเลือกพันธุ์ ควบคุมการเติบโต ดัดแปลงยีนให้ทนต่อความร้อน รวมทั้งเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของสารอาหารในข้าวสาลี
ข้าวสาลีถือเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นแหล่งพลังงานราว 20% ของพลังงานที่มนุษย์บริโภคทั้งหมด องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ชี้ว่ายอดการผลิตข้าวสาลีจะต้องเพิ่มขึ้นอีก 60% ภายในปี 2050 เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชากรโลก
                   ที่มา https://www.bbc.com/thai/features-45523853
           วิเคราะห์ : การพัฒนาแบบใหม่นี้จะช่วยให้สามารถผลิตข้าวสารลีได้ทันตามความต้องการของโลก ไม่ขาดตลาด

เปลี่ยนทะเลทรายที่แห้งแล้งเป็นสวนสวรรค์ด้วย “ลิควิด นาโน เคลย์”



บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาตินอร์เวย์ คิดค้นเทคโนโลยีที่ช่วยพลิกฟื้นให้ทะเลทรายอันแห้งแล้งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) กลายเป็นดินแดนที่เขียวขจีมีสภาพเหมาะสมกับการเพาะปลูกพืชเลี้ยงปากท้องผู้คนอีกครั้ง
นายคริสเตียน อูเลเซน นักวิทยาศาสตร์ชาวนอร์เวย์ เจ้าของธุรกิจสตาร์ทอัพ Desert Control ได้ค้นลิควิด นาโน เคลย์ (Liquid nano clay หรือ LNC) ซึ่งทำจากอนุภาคดินขนาดจิ๋วผสมกับน้ำ มีคุณสมบัติช่วยประสานอนุภาคทรายไว้ด้วยกัน ทำให้ทรายสามารถเก็บกักน้ำและสารอาหารเอาไว้ได้ จึงมีสภาพเหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกพืชผลต่าง ๆ
นวัตกรรมนี้ช่วยให้ดินที่แห้งแล้งมีสภาพพร้อมที่จะใช้ปลูกพืชได้ภายในเวลาเพียง 7 ชั่วโมง ทั้งที่โดยทั่วไปอาจต้องใช้เวลาถึง 7 ปีกว่าจะเปลี่ยนทรายให้เป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ได้
โดยปกติเกษตรกรในยูเออีต้องนำรถบรรทุกน้ำเข้าไปรดพืชผลที่ปลูกในไร่ โดยในสภาพอากาศที่ร้อนระดับปานกลางจะต้องใช้น้ำมากกว่าการปลูกพืชในดินปกติเกือบ 3 เท่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเพาะปลูกพืชผลการเกษตรในยูเออีเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้จริงในทางปฏิบัติ ส่งผลให้ประเทศต้องนำเข้าพืชผักผลไม้คิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของปริมาณที่บริโภคกันในประเทศ
นายไฟซัล อัล ชิมมารี เจ้าของฟาร์มในยูเออี บอกว่าผลการประเมินบ่งชี้ว่า ลิควิด นาโน เคลย์ ช่วยประหยัดน้ำในการเพาะปลูกลงกว่า 50% และให้ความหวังพวกเขาว่าจะสามารถสร้างพื้นที่เกษตรที่อุดมสมบูรณ์ราวกับสวนสวรรค์บนโลกมนุษย์ได้สักวันหนึ่ง
วิเคราะห์ สามารถนำไปปรับใช้กับพื่นที่ๆแห้งแล้งและไม่สามารถทำการเกษตรได้ให้กลับมาใช้ได้อีกครั้งและเป็นการสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่

นมผึ้งและคุณประโยชน์ที่น่ารู้


   นมผึ้ง เป็นผลผลิตที่หลั่งออกมาจากต่อมไฮโปฟาริงจ์ (Hypopharyngeal Gland) ของผึ้งงาน นมผึ้งมีลักษณะเป็นของเหลวสีขาวคล้ายน้ำนม รสหวาน มีกลิ่นเปรี้ยวเล็กน้อย เป็นอาหารหลักของผึ้งนางพญาและตัวอ่อนผึ้งเพื่อช่วยกระตุ้นในการเจริญเติบโต หลายประเทศใช้นมผึ้งในฐานะยารักษาโรค อาหารเสริม หรือแม้กระทั่งเป็นส่วนผสมของครีมบำรุงและเครื่องสำอาง



นมผึ้งมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักประมาณ 60-70% และอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ เช่น โปรตีน น้ำตาล วิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโน นอกจากนี้ ยังพบสารอื่นในนมผึ้ง ได้แก่ กรดไขมันเอชดีเอ (10-Hydroxy-Trans-2-Decenoic Acid) ซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทในการเจริญเติบโตของผึ้ง สารแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความรู้สึกและกลไกการทำงานของร่างกาย รวมถึงฮอร์โมนเพศ เช่น เทสโทสเตอโรน โปรเจสเตอโรน เป็นต้น 

ประโยชน์ของนมผึ้งที่อาจมีต่อสุขภาพ



บรรเทาอาการวัยทอง อาการวัยทองเป็นปัญหาทางสุขภาพที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงวัยกลางคน ส่งผลให้เกิดอาการหลายอย่าง เช่น ช่องคลอดแห้ง แสบร้อนหรือคันในช่องคลอด เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น อาการดังกล่าวสามารถบรรเทาลงได้ด้วยการใช้สารหล่อลื่น แต่สารหล่อลื่นส่วนใหญ่จะออกฤทธิ์ได้เพียงชั่วคราว ซึ่งนมผึ้งมีคุณสมบัติต้านจุลชีพ (Antimicrobial Activity) และมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จากการศึกษาโดยให้ผู้หญิงวัยทองที่แต่งงานแล้วอายุ 50-65 ปี จำนวน 90 คน กลุ่มหนึ่งใช้ครีมที่มีส่วนผสมของนมผึ้ง 15% กลุ่มหนึ่งใช้ฮอร์โมนทดแทนเอสโตรเจนชนิดครีมยี่ห้อหนึ่ง และอีกกลุ่มใช้สารหล่อลื่นทาบริเวณช่องคลอดเป็นเวลา 3 เดือน พบว่าครีมที่มีส่วนผสมของนมผึ้งมีประสิทธิภาพในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้หญิงวัยทองได้มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับฮอร์โมนทดแทนเอสโตรเจนชนิดครีมและสารหล่อลื่น




ลดระดับไขมันในเลือด นมผึ้งมีส่วนประกอบของสารอาหารหลายชนิด หนึ่งในนั้นคือกรดไขมันสายกลาง (Medium Chain Fatty Acid) และสารประกอบที่มีคุณสมบัติช่วยลดไขมันในเลือด ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาที่ให้ผู้หญิงวัยทองสุขภาพดีจำนวน 36 คนรับประทานนมผึ้งขนาด 150 มิลลิกรัม เป็นเวลา 3 เดือน โดยตรวจปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ รวมถึงระดับไขมันในเลือดทั้งก่อนและหลังการทดลอง พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันในเลือดอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL) ลดลง 4.1% ระดับคอเลสเตอรอลรวม (TC) ลดลง 3.09% และระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี (HDL) เพิ่มขึ้น 7.7%




ความปลอดภัยในการรับประทานนมผึ้ง !! 

การรับประทานนมผึ้งค่อนข้างปลอดภัยหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น เลือดออกในลำไส้ ปวดท้อง หรือถ่ายเป็นเลือด เป็นต้น บางรายหากมีอาการแพ้อย่างรุนแรงอาจทำให้มีอาการหอบหืด คอบวม หรือถึงขั้นเสียชีวิต อีกทั้งการใช้นมผึ้งทาที่บริเวณผิวหนังค่อนข้างปลอดภัย แต่ไม่ควรทาบริเวณหนังศีรษะเพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ ผื่นคัน หรือมีอาการอักเสบ

ข้อควรระวังในการรับประทานนมผึ้งโดยเฉพาะบุคคลในกลุ่มดังต่อไปนี้
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยของนมผึ้ง ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานนมผึ้งหากกำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
  • ผู้ป่วยโรคหอบหืดหรือผู้ที่มีอาการแพ้ผลิตภัณฑ์ที่มีนมผึ้งเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • ผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบ การรับประทานหรือทานมผึ้งอาจทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น
  • ผู้ป่วยความดันโลหิตต่ำ การรับประทานนมผึ้งอาจทำให้ระดับความดันโลหิตลดต่ำลงมากเกินไป
  • ผู้ที่อยู่ในช่วงรับประทานยารักษาโรค เช่น ยาวาร์ฟาริน เพราะการรับประทานนมผึ้งอาจเสี่ยงต่อการเกิดแผลฟกช้ำได้ง่าย

ที่มา  https://www.pobpad.com

วิเคราะห์  :   มีประโยชน์แล้วก็มีผลดีมาก ต่อผู้ที่ ไม่มีเวลาดูแลหรือตัวเองหรือมีงานมาก
และสำหรับผู้สูงอายุหรือคนที่หน้าแก่เกินวัย







แบคทีเรียตรึงไนโตรเจน: แนวทางการเกษตรที่ยั่งยืนของเวียดนาม




นักวิทยาศาสตร์ในเวียดนามใช้ซูเปอร์แบคทีเรียเป็นตัวช่วยในการทำนาข้าวเลี้ยงปากท้องคนในประเทศ ถือเป็นความก้าวหน้าทางการเกษตรที่ช่วยลดปัญหามลพิษจากการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนที่ก่อให้เกิดปัญหาก๊าซเรือนกระจกต้นเหตุสำคัญของปัญหาโลกร้อน
ดร.ฟาน ทิ ทู เฮือง จากสถาบันวิจัยพืชไร่ของเวียดนาม บอกว่า การที่เกษตรกรใช้ปุ๋ยไนโตรเจนในปริมาณมากเกินความต้องการของพืช ทำให้กว่า 50% ของปุ๋ยไนโตรเจนที่ใช้ในการทำนานั้นระเหยหรือไม่ก็ถูกชะล้างไป ส่งผลให้เกิดก๊าซไนตรัสออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทําให้เกิดภาวะโลกร้อน และมีอันตรายกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 300 เท่า
ด้วยเหตุนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ของเวียดนามได้หันมาใช้ซูเปอร์แบคทีเรียในกลุ่มที่มีคุณสมบัติในการตรึงไนโตรเจน (nitrogen fixation) ซึ่งสามารถดึงก๊าซไนโตรเจนในบรรยากาศมาเปลี่ยนเป็นไนโตรเจนในรูปที่พืชสามารถนำมาใช้ได้
ดร.ฟาน ทิ ทู เฮือง ระบุว่า แบคทีเรียดังกล่าวไม่เพียงจะช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนลงได้ 25% แต่ยังช่วยให้ผลผลิตการเกษตรเพิ่มขึ้น 15% ด้วย
รายงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของสารคดีชุด Taking the Temperature ของบีบีซีซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินทุนด้านการผลิตโดย Skoll Foundation มูลนิธิในสหรัฐฯ ที่ส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนที่โลกกำลังเผชิญ
วิเคราะห์ : ช่วยลด ต้นทุนในการผลิตพืชผล

เถียง​กัน​ไม่​จบ​ผล​กระทบ​สาร​พารา​ค​วอ​ต




สังคมอุตสาหกรรมการเกษตรไทยเน้นการผลิตเพื่อการค้าขายเสียส่วนใหญ่ ในเรื่องของการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และองค์ความรู้มาช่วยทดแทนแรงงานเกษตรกรที่ลดน้อยลงก็เป็นเรื่องที่จำเป็นมากเช่นเดียวกับหนึ่งในปัจจัยการผลิตพื้นฐานของเกษตรกรทั่วโลกก็คือสารกำจัดวัชพืชที่ทำหน้าที่ช่วยลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ
พาราควอต’ เป็นสารเคมีกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอกมีคุณสมบัติทำลายการสังเคราะห์แสงของใบไม้เมื่อฉีดพ่นไปโดนส่วนที่เป็นใบเขียวจะทำให้วัชพืชเหี่ยวและตายไปกลไกการทำงานของสารตัวนี้กำจัดเฉพาะศัตรูพืชเท่านั้นไม่มีฤทธิ์ทำลายระบบรากและโคนต้นด้วยคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพสูงและมีต้นทุนที่ต่ำจึงทำให้เกษตรกรสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างดีส่งผลให้มีรายได้เพิ่มสามารถลดแรงงานลงได้
ในปัจจุบันเกษตรกรไทยยังคงนิยมใช้เครื่องฉีดพ่นสารเคมีแบบสะพายหลัง โดยไม่ระวังหรือป้องกันตัวเองมากนัก จึงมีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสพาราควอตระหว่างการใช้งาน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มีแค่เกษตรกรและผู้ใช้แรงงานในภาคเกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบทางสุขภาพจากสารเคมีอันตรายตัวนี้เท่านั้น เพราะพาราควอตยังส่งผลกระทบไปถึงผู้บริโภค สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และรวมไปถึงทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย
ที่มา www.seub.or.th
วิเคราะห์  : การใช้สารนี้กับอาหารจะเพิ่มโอกาสที่คนจะรับสารที่เป็นอันตรายและก่อให้เกิดโรคเข้าสู้ร่างกายผ่านอาหารมากขึ้นและง่ายขึ้นไปอีก เนื่องจากในยุคปัจจุบัน คนเราไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าในอาหารมีสารอะไรเจือปนอยู่




ไนโตรเจนเหลว รับประทานได้ไหม อันตรายหรือไม่ ?


ไนโตรเจนเหลวถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารต่าง ๆ เช่น ขนมหวาน ไอศกรีม หรือค็อกเทล เพื่อสร้างก๊าซลักษณะคล้ายควันลอยออกมาสร้างความแปลกใหม่ให้เมนูอาหาร แต่ในขณะเดียวกันไนโตรเจนเหลวอาจทำให้เกิดอันตรายต่าง ๆ ต่อสุขภาพผู้บริโภคได้ เช่น ทำลายเนื้อเยื่อในร่างกาย และทำให้หมดสติ ดังนั้น จึงควรศึกษาข้อมูลความปลอดภัย ระมัดระวังในการบริโภค และคำนึงถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ


ไนโตรเจนเหลว คือ อะไร ?
ไนโตรเจนเหลว คือ ก๊าซไนโตรเจนในสถานะของเหลวที่มีอุณหภูมิประมาณ -200 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นก๊าซเฉื่อยที่ไม่ติดไฟ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสชาติใด ๆ ละลายน้ำได้เล็กน้อย และมีน้ำหนักเบากว่าอากาศ
ในอุตสาหกรรมอาหาร ไนโตรเจนเหลวถูกนำมาใช้ประโยชน์สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารที่ต้องการความเย็นจัด เช่น ใช้แช่เย็นผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ ให้อยู่ในอุณหภูมิที่เย็นจัด หรือใช้แช่แข็งอาหารโดยการทำให้อุณหภูมิของอาหารลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
โดยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ไนโตรเจนเหลวประกอบอาหาร มีดังนี้
     อันตรายจากความเย็นจัด เนื่องจากไนโตรเจนเหลวเป็นของเหลวที่มีความเย็นจัด หากสัมผัสโดนโดยตรง ผิวหนังและเนื้อเยื่อต่าง ๆ อาจถูกทำลายจนเกิดอาการพองบวมขึ้น ซึ่งมีลักษณะคล้ายแผลไหม้หรือแผลน้ำร้อนลวก โดยอาการต่าง ๆ อาจยังไม่ปรากฏในช่วงแรกที่สัมผัสโดนไนโตรเจนเหลว แต่หากผ่านไปสักพักจะเริ่มมีอาการปวดและแสบร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อไนโตรเจนเหลวโดนเนื้อเยื่ออ่อน เช่น นัยน์ตา อาการที่ปรากฏอาจรุนแรงมาก และหากรับประทานอาหารโดยไม่รอให้ไนโตรเจนเหลวระเหยเป็นก๊าซจนหมดก่อน อาจทำให้ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อในปากเกิดแผลไหม้จากความเย็นจัด และอาจทำให้กระเพาะอาหารเป็นรูได้
     อันตรายจากก๊าซไนโตรเจน อาจเกิดภาวะความไม่สมดุลของสัดส่วนก๊าซในอากาศ ทำให้ปริมาณออกซิเจนในอากาศที่ใช้หายใจลดลง และเมื่อสูดดมหรือหายใจเอาก๊าซไนโตรเจนเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หรือหมดสติจนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ โดยเฉพาะในเด็ก คนชรา และผู้ป่วยที่มีปัญหาในระบบทางเดินหายใจ
ที่มา  https://www.pobpad.com
วิเคราะห์ : การมีไนโตรเจนเหลวก็เพื่อความสวยงามและความน่ากินของอาหารเท่านั้น ไม่ได้เพิ่มรสชาติหรือประโยชน์ เพราะฉะนั้นเวลากินควรคิดและเลือกกินให้ดี

ยาชนิดใหม่ ยืดอายุขัยผู้ติดเชื้อเอชไอวีเกือบเท่าปกติ



ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการเดอะ แลนเซทระบุว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่อายุยังน้อยและได้รับการรักษาด้วยยาที่มีการคิดค้นใหม่ล่าสุด จะมีอายุขัย ยืนยาวเกือบเป็นปกติโดยเป็นผลมาจากการดูแลรักษาที่ดีขึ้น
       ผลการค้นพบใหม่ชี้ว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในช่วงอายุ 20 ปี ที่เริ่มรักษาด้วยยาต้านรีโทรไวรัสในปี 2010 คาดว่าจะมีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวขึ้น 10 ปี เมื่อเทียบกับผู้ที่เริ่มรักษาด้วยยาชนิดเดียวกันเมื่อปี 1996
          แพทย์ระบุว่า การเริ่มรักษาแต่เนิ่น ๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวและมีสุขภาพดี แต่หลายองค์กรการกุศล ที่ทำงานเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีระบุว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อไวรัสดังกล่าว โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ที่สาเหตุการเสียชีวิตจากเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่ เป็นเพราะผู้ป่วยเข้าไม่ถึงยารักษา


การป้องกันที่ได้ผลดีขึ้น
         นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบริสตอลผู้จัดทำรายงานนี้ระบุว่า ความสำเร็จของการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี เป็นผลมาจากยาชนิดใหม่ ที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อยลง และป้องกันการขยายจำนวนของไวรัสในร่างกายได้ดีขึ้น รวมถึงมีผลทำให้ไวรัสดื้อยาน้อยลง นอกจากนี้ คณะนักวิจัยเชื่อว่าโครงการตรวจหาเชื้อและการป้องกัน รวมถึงการรักษาที่ดีขึ้น ยังมีส่วนช่วยด้วยเช่นกัน
        อย่างไรก็ดี ยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่มีอายุยืนยาวไม่เท่าที่ควร โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการใช้เข็มฉีดยา
          สำหรับการรักษาด้วยยาต้านรีโทรไวรัส เป็นการใช้ยา 3 ชนิดรวมกันหรือมากกว่า เพื่อยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี (ไวรัสที่ก่อให้เกิดภาวะภูมคุ้มกันบกพร่องในมนุษย์) และได้ชื่อว่า 'เป็นความสำเร็จด้านสาธารณสุขประการหนึ่งในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา


ยาใช้ได้ผลจริง
    นายจิมมี่ ไอแซค อายุ 28 ปี พบว่าเขาได้รับเชื้อเอชไอวี จากอดีตคนรักเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน ขณะนี้เขาต้องรับประทานยา 3 ชนิด ในเวลา 18:00 น. ทุกวันเป็นประจำไปตลอดชีวิต
"ผมมีสุขภาพปกติดี รับประทานอาหารและดื่มได้อย่างคนที่มีสุขภาพดี และไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งในเรื่องงานหรือการใช้ชีวิตในสังคม"
    แม้ว่าก่อนหน้านี้จะต้องเปลี่ยนตัวยาถึง 2 ครั้ง เพื่อให้ได้ส่วนผสมที่เหมาะกับเขา แต่ตอนนี้ไอแซค กล่าวว่าไม่มีผลข้างเคียงจากการใช้ยาเลย 'ผมได้ยินเรื่องแย่ ๆ เกี่ยวกับยาในยุคปี 90 มามาก แต่เมื่อผมค้นหาข้อมูลดูก็พบว่า ยารักษาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว'
วิเคราะห์ : ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในวงการแพทย์เพื่อให้ ครอบครัวและคนที่ติดเชื้อ HIV มีเวลาอยู่ด้วยกันมากยิ่งขึ้น
'

พบวิตามินบีอาจช่วยร่างกายต้านมลพิษทางอากาศได้



ผลทดลองเบื้องต้นในมนุษย์พบว่า วิตามินบีมีแนวโน้มจะช่วยป้องกันผลเสียต่อร่างกายที่เกิดจากมลพิษทางอากาศได้
         นักวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เผยแพร่ผลการทดลองเบื้องต้นในวารสารวิชาการ PNAS ซึ่งชี้ว่าการรับประทานวิตามินบีหลายชนิดในปริมาณสูง มีแนวโน้มจะช่วยให้ร่างกายมนุษย์สามารถต้านทานผลกระทบที่เกิดจากมลพิษทางอากาศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมลพิษที่ไปเปลี่ยนแปลงหน่วยพันธุกรรมหรือยีน
        มีการทดลองให้อาสาสมัคร 10 ราย รับประทานวิตามินเสริมขณะอยู่ในแหล่งที่มีมลพิษทางอากาศสูง โดยในตอนแรกได้ให้อาสาสมัครรับอากาศบริสุทธิ์และรับประทานยาหลอกก่อนเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนในการทดลอง จากนั้นได้นำอาสาสมัครชุดเดิมไปยังแหล่งที่มีมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งที่มีอนุภาคฝุ่นละอองชื่อ PM2.5 อยู่สูง แล้วให้รับประทานวิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และกรดโฟลิกในปริมาณสูงทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม


    ผลการทดลองเบื้องต้นนี้พบว่า การรับวิตามินบีในปริมาณสูงเป็นประจำ สามารถต้านทานผลกระทบของมลพิษต่อร่างกายในระดับหน่วยพันธุกรรมหรือยีนได้อย่างมาก โดยช่วยจำกัดกระบวนการที่มลพิษจะไปเปลี่ยนแปลงการทำงานของยีนได้ราว 26-76 % ใน 10 ตำแหน่งของยีนบนโครโมโซม ทั้งยังช่วยต้านทานความเปลี่ยนแปลงของไมโทคอนเดรียลดีเอ็นเอได้เป็นส่วนใหญ่ด้วย
คณะผู้วิจัยยังมีแผนที่จะทำการทดลองขั้นต่อไปในเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเช่นกรุงปักกิ่ง กรุงเม็กซิโกซิตี้ และหลายเมืองในอินเดีย
วิเคราะห์ :  เพิ่มหนทางการป้องการมลพิษทางอากาศ




สารสกัดจากพืชป่าอาจนำมาพัฒนาเป็นยาคุมฉุกเฉินได้


     นักวิทยาศาสตร์ในรัฐแคลิเฟอร์เนียของสหรัฐฯ ค้นพบว่าสารเคมีสองชนิดที่พบในรากของต้นแดนดิไลออน และเถาพระเจ้าฟ้าร้อง (thunder god vine) อาจนำมาใช้สกัดเป็นยาคุมกำเนิดฉุกเฉินได้
     สารเคมีที่พบในพืชทั้งสองชนิดถูกนำมาใช้เป็นยาพื้นบ้านมานานแล้ว แต่ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์พบว่ามันมีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญพันธุ์ด้วย อย่างไรก็ดี สารที่พบในพืชนี้มีปริมาณน้อยมาก จึงทำให้การสกัดนำมาใช้มีต้นทุนสูงมาก
      ทั้งนี้ ในการทดลองของคณะนักวิทยาศาสตร์พบว่าสารพริสทิเมอริน (pristimerin) และลูพิออล (lupeol) มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญพันธุ์ด้วยการสกัดไม่ให้สเปิร์มมีพละกำลังแหวกว่ายเข้าไปฝังตัวในไข่ของผู้หญิง
      นักวิทยาศาสตร์อธิบายไว้ในวารสาร Proceeding of the National Academy of Sciences ว่า สารเคมีทั้งสองชนิดทำปฏิกิริยาคล้าย "ถุงยางอนามัยโมเลกุล" หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมันสามารถยับยั้งฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนที่ช่วยให้สเปิร์มสามารถแหวกว่ายได้อย่างเต็มกำลัง อย่างไรก็ดีสารเคมีที่พบในพืชป่านี้จะไม่ฆ่าสเปิร์ม

      สารลูพิออลพบในพืชอย่างมะม่วง รากของต้นแดนดิไลออน และว่านหางจระเข้ ส่วนสารพริสทิเมอรินได้จากสมุนไพรที่มีชื่อว่า tripterygium wilfordii หรืออีกชื่อหนึ่งคือเถาพระเจ้าฟ้าร้อง ซึ่งเป็นสมุนไพรทางการแพทย์แผนโบราณของจีน
     ทั้งนี้ นักวิจัยพบว่าสารเคมีดังกล่าวให้ผลแม้จะใช้ในปริมาณน้อย และไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด ซึ่งต่างจากยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน ซึ่งนักวิจัยได้ข้อสรุปว่ามีความเป็นไปได้ที่จะนำไปใช้เป็นยาคุมกำเนิดฉุกเฉินทั้งก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้เป็นยาคุมกำเนิดถาวรทั้งชนิดแผ่นแปะบนผิวหนัง หรือห่วงคุมกำเนิด
วิเคราะห์ : หากทองแล้วได้ผลจริง จะช่วยลดต้นทุนทรัพยากรในการนำมาผลิตยาคุม

น้ำลายคนปรับตัวตามชนิดอาหาร ช่วยให้ของไม่อร่อยรสชาติดีขึ้น



      อาหารบางอย่างที่หลายคนชิมแล้วรู้สึกว่าไม่ถูกปากเลยในครั้งแรก แต่กลับมีรสชาติดีขึ้นในการกินครั้งถัดไป เช่นผักขมหรือของหมักดองที่มีกลิ่นแรง อาหารเหล่านี้กลับกลายเป็นของอร่อยขึ้นมาได้ ไม่ใช่เพราะคนกินเริ่มคุ้นเคยกับรสชาติเฉพาะตัวมากขึ้นเท่านั้น แต่เป็นเพราะสารเคมีในน้ำลายเกิดการปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปด้วย

เมื่อพูดถึงน้ำลาย คนส่วนใหญ่มักคิดว่าหน้าที่หลักของมันคือสารหล่อลื่นที่ทำให้กลืนอาหารลงคอได้ง่าย รวมทั้งช่วยย่อยอาหารบางอย่าง แต่ที่จริงน้ำลายนั้นช่วยในการรับรู้รสด้วย โดยโปรตีนหลายชนิดที่ต่อมน้ำลายหลั่งออกมาจะจับตัวกับสารประกอบที่ให้รสชาติในอาหาร รวมทั้งจับตัวเข้ากับเซลล์รับรสในปาก ซึ่งเท่ากับทำหน้าที่เป็นเสมือน "สื่อเคมี" ในช่องปากนั่นเอง

ผลที่ได้คืออาสาสมัครรายงานว่าเครื่องดื่มมีรสขมและฝาดน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนผลวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีในน้ำลายของอาสาสมัคร พบว่ามีโปรตีนชนิดที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโน "โพรลีน" (Proline) เพิ่มขึ้น ซึ่งกรดอะมิโนนี้สามารถจับตัวกับสารประกอบที่ทำให้เกิดรสขมและฝาดในน้ำนมอัลมอนด์ได้ ทำให้รู้สึกว่ามีรสชาติดีขึ้น



วิเคราะห์ : สามารถนำไปใช้เป็นวิธีการในการฝึกเด็กหรือใครก็ตามให้หัดกินอาหารให้หลากหลายมากขึ้น

เชื้อเห็ดรา มีคุณค่ามากกว่าเป็นอาหาร และยารักษาโรค



พวกมันอยู่ทั่วไปทั้งในดิน ในตัวเราและในอากาศ แต่มักมีขนาดเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
พวกมันเป็นได้ทั้งอาหารและยา ทว่าบางครั้งก็สร้างหายนะใหญ่หลวงด้วยการก่อให้เกิดโรคในพืชและสัตว์
จากการประเมินสภาวะเชื้อเห็ดราในโลกครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก พบว่า อาณาจักรเห็ดรามีความสำคัญต่อชีวิตบนโลกใบนี้
แต่มากกว่า 90% ของเชื้อเห็ดรา 3.8 ล้านชนิดในโลก ยังไม่เป็นที่รู้จักทางวิทยาศาสตร์
ศ. แคที วิลลิส ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ที่สวนพฤกษศาสตร์หลวงคิว (Kew Gardens) ซึ่งเป็นผู้นำในการทำรายงานนี้ กล่าวว่า "มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจมาก แต่เรารู้จักมันน้อยมาก"
"พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลก และมีวัฏจักรชีวิตที่ประหลาดมาก กระนั้น เมื่อคุณเข้าใจบทบาทในระบบนิเวศของมัน คุณจะตระหนักว่า พวกมันช่วยค้ำจุนสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกนี้"

เป็นทั้ง "คนดี" และ "ตัวร้าย"
ดร. เอสเตอร์ กายา ผู้นำโครงการวิจัยที่สวนพฤกษศาสตร์หลวงคิว ซึ่งสำรวจความหลากหลายและวิวัฒนาการ ของเชื้อเห็ดราในโลกนี้ กล่าวว่า เชื้อเห็ดรามีทั้งที่เป็น "คนดี" และ "ตัวร้าย"
"เชื้อเห็ดราชนิดเดียวกัน อาจถูกมองได้ว่าเป็นทั้งอันตราย แต่ก็มีศักยภาพและช่วยให้แก้ปัญหาหลายอย่างได้เช่นกัน"

10 ข้อน่ารู้เกี่ยวกับเชื้อเห็ดรา

  1. เชื้อเห็ดราอยู่ในอาณาจักรของมันเอง ซึ่งมีความใกล้เคียงกับอาณาจักรสัตว์มากกว่าอาณาจักรพืช
  2. พวกมันมีสารเคมีที่ผนังเซลล์คล้ายกับของกุ้งมังกรและปู
  3. เชื้อเห็ดราสามารถช่วยย่อยพลาสติกให้หมดไปภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์แทนที่จะใช้เวลาหลายปี
  4. มีหลักฐานที่ระบุว่า ยีสต์ซึ่งเป็นเชื้อเห็ดราชนิดหนึ่ง ถูกใช้ผลิตไวน์น้ำผึ้ง( mead) ตั้งแต่ 9,000 ปีก่อน
  5. เชื้อเห็ดราอย่างน้อย 350 สายพันธุ์ ถูกมนุษย์นำมาบริโภค รวมถึงเห็ดทรัฟเฟิล ซึ่งมีราคาแพงหลายพันดอลลาร์ต่อชิ้น, คอร์น (quorn) และยังอยู่ในมาร์ไมต์ (ยีสต์ทาขนมปัง) และชีสด้วย
  6. ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ทำจากพลาสติกจำนวนมาก, ยางสังเคราะห์ และตัวต่อเลโก ทำมาจากกรดอิทาโคนิก (itaconic acid) ที่มาจากเชื้อเห็ดราชนิดหนึ่ง
  7. คาดว่าเชื้อเห็ดรา 216 สายพันธุ์ ทำให้เกิดภาพหลอน
  8. เชื้อเห็ดรากำลังถูกใช้ในการเปลี่ยนให้ขยะทางการเกษตรกลายเป็นไบโอเอทานอล (bioethanol)
  9. ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเชื้อเห็ดราหลายชนิดสามารถนำไปใช้แทนโฟมโพลีสไตรีน (polystyrene foam), หนังสัตว์ และวัสดุก่อสร้างได้
  10. การศึกษาดีเอ็นเอพบว่า มีเชื้อเห็ดราหลายพันชนิดอยู่ในตัวอย่างดิน 1 ตัวอย่าง หลายชนิดไม่เป็นที่รู้จักและยังไม่เป็นที่เปิดเผยโดยถูกเรียกว่า "ทาซามืด" (dark taxa)
  


วิเคราะห์ : ได้ค้นพบวิธีการที่จะกำจัดขยะต่างๆบนโลกโดยไม่ใช้ระยะเวลายาวนาน



แบคทีเรียในน้ำลายหมีสีน้ำตาลอาจเป็นยาปฏิชีวนะชนิดใหม่



ในบรรดาเชื้อแบคทีเรียหลากหลายชนิดที่อยู่ในน้ำลายของหมีสีน้ำตาลพันธุ์ไซบีเรียตะวันออก (East Siberian brown bear) มีอยู่อย่างน้อยชนิดหนึ่งที่อาจนำไปพัฒนาเป็นยาปฏิชีวนะขนานใหม่ ซึ่งจะสามารถต้านทานเชื้อดื้อยาชนิดรุนแรงหรือซูเปอร์บั๊ก (Superbug) ได้
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรัตเจอร์สของสหรัฐฯ ตีพิมพ์ผลการค้นพบข้างต้นลงในวารสาร PNAS โดยระบุว่าได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด แยกแยะเชื้อแบคทีเรียนับแสนชนิดในน้ำลายของหมีออกจากกัน โดยให้เชื้อแต่ละชนิดพันธุ์แยกกันเกาะอยู่กับหยดน้ำมันเล็ก ๆ เพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบว่าแบคทีเรียชนิดใดจะมีความสามารถต้านทานเชื้อดื้อยาได้บ้าง


ผลการตรวจสอบเบื้องต้นปรากฏว่า มีเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งในน้ำลายของหมีสีน้ำตาล ไม่มีเชื้ออันตรายอย่าง Staphylococcus aureus มาอาศัยร่วมอยู่ด้วย แสดงว่าแบคทีเรียชนิดนี้สามารถฆ่าเชื้ออันตรายดังกล่าว ซึ่งเป็นเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะเมทิซิลลิน หรือที่เรียกกันว่าเชื้อ MRSA ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของวงการสาธารณสุขทั่วโลกนั่นเอง
ศ. คอนสแตนติน เซเวรินอฟ ผู้นำทีมวิจัยบอกว่า จำเป็นต้องจับหมีสีน้ำตาลพันธุ์ดังกล่าวมาจากถิ่นอาศัยในป่าลึก เพื่อเก็บตัวอย่างน้ำลาย ก่อนจะปล่อยคืนสู่ธรรมชาติดังเดิม เพราะไม่อาจใช้หมีในสวนสัตว์ที่กินอาหารและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้ระบบชีวนิเวศจุลชีพในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปจากตอนเป็นสัตว์ป่าแล้ว
"เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่เราใช้แยกแยะเชื้อแบคทีเรียนับแสนชนิดในน้ำลายของหมีออกจากกัน ทำให้ค้นพบเชื้อแบคทีเรียที่มีศักยภาพในการเป็นยาปฏิชีวนะขนานใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เทคนิคนี้จะปูทางไปสู่การค้นหายาปฏิชีวนะรุ่นใหม่จากสัตว์ป่า ซึ่งจะทรงประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อดื้อยาได้ดีกว่าเดิม" ศ. เซเวรินอฟกล่าว
วิเคราะห์ : มีหนทางในการรักษาและฆ่าเชื้อโรคในยุคปัจจุบันเพิ่มมากยิ่งขึ้น




วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

ค้นพบวิธีใช้แบคทีเรียในลำไส้มนุษย์เปลี่ยนหมู่โลหิตได้



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แบคทีเรียเปลี่ยนหมู่โลหิต



แบคทีเรียเปลี่ยนหมู่โลหิต ช่วยแก้ปัญหาเลือดบริจาคขาดแคลน


แบคทีเรียเปลี่ยนหมู่โลหิต  BBC ไทย – นักวิทยาศาสตร์จากแคนาดาค้นพบวิธีเปลี่ยนหมู่โลหิตจากเลือดกรุ๊ปเอ (A) ให้เป็นกรุ๊ปโอ (O) โดยใช้เอนไซม์จากแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของคนเรา ซึ่งวิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนเลือดในปัจจุบัน เพราะเลือดกรุ๊ปโอสามารถนำไปให้กับผู้รับบริจาคเม็ดเลือดแดงเข้มข้น (Packed red cells) ได้ทุกคน ไม่ว่าผู้รับจะมีหมู่โลหิตใดก็ตาม
ศ. สตีเฟน วิเธอร์ส จากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย (UBC) ของแคนาดา นำเสนอผลการค้นพบนี้ในการประชุมประจำปีของสมาคมเคมีอเมริกันที่เมืองบอสตันในสหรัฐฯ โดยระบุว่าเอนไซม์จากแบคทีเรียในลำไส้สามารถขจัดแอนติเจนเอ (Antigen A) ซึ่งก็คือโมเลกุลที่เป็นเครื่องหมายแสดงหมู่โลหิตเอที่ผิวด้านนอกของเซลล์เม็ดเลือดแดงออกไปได้
เมื่อแอนติเจนของเลือดกรุ๊ปเอถูกขจัดออกไป เซลล์เม็ดเลือดแดงดังกล่าวจะมีคุณสมบัติเหมือนกับเลือดกรุ๊ปโอ ที่ไม่มีทั้งแอนติเจนเอและแอนติเจนบีในทันที ทำให้สามารถถ่ายเลือดนั้นให้กับผู้รับบริจาคทุกคนได้อย่างปลอดภัย ไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากภูมิคุ้มกันที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต